fbpx

ไขข้อสงสัย คุณแม่ท้องเล่นมือถือ อันตรายต่อลูกน้อยหรือไม่

Writer : nunzmoko
: 23 มีนาคม 2561

เทคโนโลยีการสื่อสาร ระบบการใช้อินเตอร์เน็ตถือว่าเป็นปัจจัยที่ 5 ไปแล้วสำหรับคนยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะใช้ในเรื่องการทำงาน การติดต่อสื่อสาร ติดเกมส์ หรือดูซีรี่ย์ ซึ่งคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์หลายคนมักสงสัยว่าแล้วการเล่นโทรศัพท์มือถือนานๆ จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์หรือไม่ มีกังวลเกี่ยวกับคลื่นรังสีและแสงจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อลูกน้อยได้ มาดูกันค่ะว่าพฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์หรือไม่

คนท้องติดมือถือ อันตรายต่อลูกไหม?

+ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ เป็นคลื่นที่มีอยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด คลื่นต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่เป็นคลื่นกัมมันตภาพรังสี ดังนั้นจึงไม่ได้มีอันตรายใดๆ ยิ่งกว่านั้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ายังสามารถทะลุทลวงเข้าไปใน ผิวหนังเราได้แค่ 1-2 เซ็นติเมตรเท่านั้น ทารกในครรภ์จึงได้รับผลกระทบจากคลื่นโทรศัพท์ค่อนข้างน้อย ยิ่งคุณแม่ที่หนังท้องหนาๆ ก็น่าจะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

+ หลายปีก่อนก็มีเรื่องฮือฮากันว่า ใช้โทรศัพท์มือถือแล้วทำให้เกิดมะเร็งในสมอง เนื่องจากมีการวิจัยของหน่วยงานที่เรียกว่า Wireless Technology Research ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยที่ว่า ผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือคุยต่อเนื่องกันนานๆ มีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเนื้องอกในสมองชนิดที่เรียกว่า “Neuroepithelial Tumors” แรกๆ ก็กลัวกันไปพักนึง แต่ก็แปลกยอดขายโทรศัพท์มือถือกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีแผ่ว และการวิจัยเรื่องใช้มือถือแล้วเป็นเนื้องอกในสมองก็ไม่ได้มีการต่อยอดมากไปกว่าเดิมเลย

+ ขณะที่งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยล พบว่า คลื่นโทรศัพท์อาจส่งผลต่อการพัฒนาของสมองทารกในครรภ์ และอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมาธิสั้นได้ และขอใช้ผลการศึกษานี้เตือนผู้บริโภคให้ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวอย่างระมัดระวัง ส่วนคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น ควรหลีกเลี่ยง หรือไม่ก็ควรวางโทรศัพท์ให้ห่างจากบริเวณครรภ์ให้มากที่สุด

คลื่นโทรศัพท์กับสมองของลูก

มีการวิจัยที่พบว่า คลื่นโทรศัพท์มือถือสามารถทะลุทะลวงเข้าสู่เนื้อเยื่อสมองของเด็กและก่อให้เกิดผลกระทบได้มากกว่า โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุ 5 ขวบ ที่คลื่นมือถือสามารถทำลายเนื้อเยื่อสมองได้มากกว่าผู้ใหญ่ถึง 5 เท่า ทำให้มีอาการปวดหัว และอาจจะทำให้เกิดมะเร็งในสมองได้ ซึ่งมีงานวิจัยที่กล่าวเอาไว้ว่าคลื่นโทรศัพท์มือถืออาจทำให้เกิดปัญหาทางด้านพฤติกรรมได้ และพอจะสรุปได้ว่า รังสีจากโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุที่ทำให้ทารกกลายเป็นบุคคลสมาธิสั้น อีกทั้งยังมีอารมณ์ค่อนข้างสับสน มีพฤติกรรมตื่นเต้น วุ่นวาย (hyperactive) หรือเข้าข่ายที่เรียกกันว่า “อยู่ไม่สุข” เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในภายหน้า

แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดในเรื่องนี้ แต่ก็ทำให้มีกระแสการรณรงค์การใช้งานโทรศัพท์มือถืออย่างปลอดภัยก็เริ่มเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วโลก อีกทั้งคุณแม่ก็ควรใช้มือถือด้วยความระมัดระวัง ใช้ตามความจำเป็น ผลเสียที่เกิดจากการเล่นโทรศัพท์นานๆ ก็คืออาจจะทำให้เกิดการเมื่อยล้าสายตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เกิดอาการปวดหลัง ปวดไหล่ ทางที่ดี จึงไม่ควรเล่นมือถือติดต่อกันเป็นเวลานานๆ แนะนำให้หากิจกรรมอื่นๆ ทำด้วย และเวลาพกติดตัวไปไหนมาไหนก็ควรพกใส่กระเป๋าถือ ที่วางไว้ห่างจากตัว ไม่ควรเอามาใส่กระเป๋าการเกงเพราะมันอาจจะอยู่ใกล้กับหัวของทารกมากเกินไปค่ะ

 

ที่มา :

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ชีวิตครอบครัว ชีวิตครอบครัว
26 กรกฏาคม 2560
กิจกรรมของครอบครัว กิจกรรมของครอบครัว
14 พฤษภาคม 2561
เริ่มให้ลูกฝึกปั่นจักรยานตอนไหนดี?
กิจกรรมของครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save