fbpx

คุณแม่ท้องแข็ง แบบไหนถึงเรียกอันตราย!!

Writer : Mneeose
: 20 พฤศจิกายน 2563

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ คุณพ่อหรือคนใกล้ชิดต้องหมั่นดูแลเป็นพิเศษ เพราะว่าร่างกายของคุณแม่ในช่วงนี้ต้องการความใส่ใจ และมักจะแสดงอาการแปลกๆ ออกมาหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือ “อาการท้องแข็ง” ซึ่งคุณแม่ใกล้คลอดมักเป็นกันบ่อย เมื่อเอามือจับดู จะมีก้อนนิ่มตึงๆ เป็นๆ หายๆ ประมาณ 10 นาที

ซึ่งอาการท้องแข็งมักเกิดจาก มดลูกบีบรัดตัวแข็งเป็นก้อนกลม ทำให้รู้สึกแน่นท้อง ซึ่งถ้าทิ้งไว้นาน จะยิ่งทำให้ปากมดลูกเปิดนั่นเอง

ซึ่งอาการ “ท้องแข็ง” นั้นมีหลายแบบ แต่แบบไหนถึงเรียกว่าอันตราย ไปดูกันเลยค่ะ

สาเหตุหลักที่ทำให้ “ท้องแข็ง”

  • คุณแม่อั้นปัสสาวะบ่อย ทำให้ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
  • พักผ่อนน้อย นอนน้อย และดูแลสุขภาพของตัวเองน้อยเกินไป
  • คุณแม่เผลอยกของหนัก หรือทำงานหนักจนเกินไป
  • การมีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรงมากจนเกินไป

 

สาเหตุของ “ท้องแข็ง” แบบต่างๆ 

– ท้องแข็ง เพราะเบบี๋ดิ้น หรือโก่งตัว

คุณแม่จะรู้สึก “แข็งบางที่ นิ่มบางที่” ภายในท้อง เป็นเพราะว่าอวัยวะที่เติบโตแล้วของเจ้าเบบี๋ เช่น แขน ขา ศอก เข่า ศีรษะของลูกน้อย เริ่มดันผนังท้องแล้วนั่นเอง

ถ้าคุณแม่ท้องแข็งแบบนี้ แสดงว่าไม่มีอันตรายใดๆ ค่ะ เพราะเป็นธรรมชาติของลูกน้อยที่จะกลับตัว หรือโก่งตัวค่ะ

 

– ท้องแข็ง เพราะคุณแม่กินอิ่มจนเกินไป หรือเพิ่งทานข้าวเสร็จใหม่ๆ

เมื่อคุณแม่เริ่มท้องแก่ พื้นที่ในท้องของคุณแม่จึงยิ่งมีจำกัด เมื่อท้องโตขึ้น มดลูกจึงโตขึ้นตามไปด้วย ทำให้อวัยวะต่างๆ เกิดการเบียดเสียดกัน เวลาที่คุณแม่ทานอะไรไปเพียงนิดเดียว ก็ทำให้แน่นท้องได้แล้วค่ะ

ถ้าคลำดูที่ช่วงท้องเท่านั้นที่จะแข็ง แต่มดลูกยังนิ่มอยู่ค่ะ ไม่เป็นอันตรายแน่นอน

 

– ท้องแข็ง เพราะมดลูกบีบตัว

หากท้องแข็ง เพราะมดลูกบีบตัว มดลูกจะเเข็งทั้งหมด ซึ่งเราเรียกว่า ท้องแข็งของแท้ จะเกิดขึ้น และพบบ่อยเมื่อคุณแม่มีช่วงอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่เจ้าลูกน้อยดิ้นมากที่สุด จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มดลูกบีบตัวนั่นเอง ดังนั้น การบีบตัวของมดลูกวันละ 6-10 ครั้ง จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติค่ะ

แต่ว่าถ้าคุณแม่มีอาการท้องแข็งนานเกินไป เจ็บจนเกร็งทนไม่ไหว ผสมกับเจ็บท้องบ่อยเกินกว่า 10 ครั้งต่อวัน ควรรีบไปคุณหมอโดยด่วนเลยค่ะ เพราะเจ้าตัวน้อยอาจจะต้องการขอความช่วยเหลืออยู่ในท้องแม่ก็เป็นได้

 

วิธีรับมือ เมื่อเกิดอาการท้องแข็ง

– คุณแม่ห้ามกลั้นปัสสาวะ

เพราะจะยิ่งทำให้กระเพาะปัสสาวะที่โตขึ้น เพราะปวดฉี่ไปเบียดมดลูก ทำให้คุณแม่เจ็บท้องได้ง่ายนั่นเอง

– หยุดการมีเพศสัมพันธ์ ในช่วงสัปดาห์ใกล้คลอด

– อย่าเครียดมากจนเกินไป

– ค่อยๆ ลุก ค่อยๆ เดิน ให้อยู่ในท่าตะแครงก่อนลุกขึ้น

– นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

– ไม่ลูบท้อง และจับหน้าอกบ่อยๆ

แต่ถ้าคุณแม่กลัวว่าตัวเองจะคลอดก่อนกำหนดรึเปล่า ควรไปหาคุณหมอเพื่อให้ได้รับคำแนะนำอย่างถูกวิธีจะดีที่สุดนะคะ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณแม่ และลูกน้อยเองด้วย ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ และคนใกล้ชิดต้องหมั่นสังเกตอาการ และพฤติกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับครรภ์ของเจ้าตัวน้อยด้วย เพื่อที่จะได้รักษาได้อย่างทันถ่วงทีค่ะ

Writer Profile : Mneeose

💙💙💙

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save