fbpx

ลูกติดหวานมากไปหรือเปล่า? 4 วิธีลดน้ำตาลในอาหารของลูก

: 18 สิงหาคม 2564

เด็กกับของหวานเป็นของคู่กัน แต่บางทีก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสองอย่างไปกันได้ดีจนเกินไปจริงไหมคะ? ยิ่งในช่วงเวลาตึงเครียด ร่างกายคนเรายิ่งต้องการน้ำตาลหรือของหวานๆ เพื่อผ่อนคลายเป็นพิเศษ

แต่แน่นอนว่าการได้รับน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป ก็ส่งผลเสียให้กับเจ้าหนูน้อยได้ แล้วเราควรทำอย่างไรเพื่อลดความหวานในของที่ลูกกินดีนะ? เราไปดูสาเหตุและวิธีแก้ไขกันดีกว่าค่ะ

ทำไมเด็กถึงชอบของหวาน?

ความรักที่มีให้กับรสชาติหวานนั้นไม่ได้อยู่ไกลตัวเลยค่ะ แต่เป็นชีววิทยาส่วนหนึ่ง กับแรงผลักดันทางสังคมอีกส่วนหนึ่ง ทั้งน้ำคร่ำและน้ำนมของคุณแม่ต่างมีรสชาติหวาน ที่ส่งผลให้ทารกชื่นชอบอาหารรสชาติหวานตั้งแต่เกิดมาเลยทีเดียว

เรายังสามารถตีกลับไปในอดีต ในตอนที่มนุษย์ยังล่าอาหารเพื่อการดำรงชีวิตได้อีกด้วย รสชาติหวานสื่อถึงอาหารที่สดใหม่และปลอดภัยสำหรับการรับประทาน ในขณะที่รสขมหมายถึงอาหารเป็นพิษ ซึ่งถูกส่งต่อในสัญชาตญาณของมนุษย์มานับหลายพันปี

นอกจากนี้แล้ว ความหวานในน้ำตาลยังช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในทารกและเด็กได้อีกด้วยค่ะ

 

น้ำตาลไม่ใช่ตัวร้าย

ถึงแม้ว่าน้ำตาลที่มากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่การตีตราให้น้ำตาลเป็นตัวร้ายในอาหารลูกน้อยก็ไม่ใช่วิธีแก้ไขที่ถูกเสียทีเดียว การมองน้ำตาลเป็นสิ่งที่แย่นั้นส่งผลให้ความรู้สึกของลูกน้อยที่มีต่ออาหารนั้นแย่ตามไปด้วย การตัดขาดของหวานทุกอย่างอาจส่งผลให้ลูกน้อยเริ่มเก็บและกินของเหล่านั้นในปริมาณที่มากเกินไปเมื่อเขาอยู่ลับหลังพ่อแม่ได้ค่ะ

และแน่นอนว่าการให้กินของหวานอย่างเค้กหรือไอศกรีมเป็นบางโอกาส ก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีนะคะ

 

ไม่ใช่ตัดน้ำตาล แต่ลดแทน

การลดน้ำตาลไม่ใช่สิ่งที่ควรตัดขาดเลยทีเดียว แต่เป็นการลดปริมาณจนเด็กเกิดการเคยชินค่ะ

เริ่มจากการลดทีละน้อยก่อน ให้เขาค่อยปรับกับความหวานที่ลดลงได้ อย่างเช่นผสมน้ำผลไม้กับน้ำเปล่าเพื่อเจือจางความหวานลง ผสมซีเรียลรสโปรดกับธัญพืชที่มีประโยชน์ เปลี่ยนจากนมรสต่าง ๆ เป็นนมจืด ให้เขาค่อย ๆ เคยชินกับความหวานที่ลดลง

 

ไม่ตั้งรางวัลเป็นขนม

“ถ้าเป็นเด็กดีกับคุณหมอแม่จะซื้อลูกอมให้นะ”

การตั้งรางวัลเป็นขนมหวานชิ้นโปรดอาจทำให้ลูกน้อยเป็นเด็กน่ารักได้ แต่ในเวลาเดียวกัน การกระทำดังกล่าวสามารถทำให้เขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับอาหารได้ค่ะ

การตั้งรางวัลเป็นขนมหรือของหวานอยู่บ่อยครั้งนั้นทำให้เด็กผูกความรู้สึกกับอาหารได้ง่าย ส่งผลให้เวลาเขาเครียดหรืออารมณ์ไม่ดี จะไปลงความรู้สึกกับของหวานและอาหารสุขภาพไม่ดีได้ค่ะ

แทนที่จะให้รางวัลเป็นอาหารอย่างเดียว แนะนำให้ชมเชยลูกน้อยให้เพียงพอ ให้เขารู้สึกดีกับสิ่งที่ตนทำ และไม่นำความรู้สึกของตัวเองไปผูกมัดกับอาหารจนเกินไปค่ะ

 

กินผลไม้แทนของหวานได้นะ!

หนึ่งในของหวานจากธรรมชาติที่มีประโยชน์ และรสชาติถูกปากเด็ก ๆ ก็ไม่พ้นผลไม้นั่นเอง การให้ลูกน้อยกินผลไม้ ถั่ว หรือธัญพืชแทนขนมขบเคี้ยวหรือลูกอม เยลลี่ ก็ช่วยลดปริมาณน้ำตาลที่เด็กได้รับเช่นเดียวกันค่ะ

Writer Profile : phanthirapuyou

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save