fbpx

6 สิ่งพึงระวังในชีวิตประจำวัน ที่แม่ท้องต้องรู้!

Writer : nunzmoko
: 12 ธันวาคม 2561

ในระหว่างการตั้งครรภ์สิ่งที่คุณแม่ควรนึกถึงเป็นอันดับแรกคือ “เรื่องความปลอดภัย” คุณแม่จะต้องเพิ่มความระมัดระวังอีกหลายเท่าและดูแลตัวเองให้มากเป็นพิเศษ เพราะสิ่งแวดล้อมหรือสถานที่ต่างๆ อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวคุณแม่เองและกับลูกน้อยในครรภ์ได้ ไปดูกันว่ามีอะไรบ้างที่คุณแม่ควรระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำในชีวิตประจำวัน

1. ท่านอนที่ต้องระวัง

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์จะเริ่มรู้สึกว่า ท่านอนที่เคยนอนสบายๆ กลับไม่สามารถนอนได้เหมือนเคย ในระยะตั้งครรภ์อ่อนๆ ก็คงไม่เป็นอะไร คุณแม่จะนอนหงาย นอนคว่ำ นอนตะแคงก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าท้องใหญ่มากขึ้นหรือในช่วงใกล้คลอด การนอนคว่ำก็อาจทำให้ท้องค้ำตัวคุณแม่ จะนอนหงายก็ไม่ได้เพราะจะหายใจได้ไม่สะดวก เพราะขนาดท้องที่ใหญ่มากขึ้นจะไปกดตรงกะบังลม ส่วนท่านอนที่ดีที่สุดของคุณแม่ท้องใหญ่ๆ คือ ท่านอนตะแคง จะตะแคงซ้ายหรือขวาก็ได้ตามที่ถนัด เพราะการนอนตะแคงมดลูกที่มีขนาดใหญ่จะไม่ไปกดทับเส้นเลือดใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง จึงทำให้คุณแม่หายใจได้สะดวก เลือดลมไหลเวียนได้ดี คุณแม่จึงนอนหลับได้สบายมากขึ้น

2. การแต่งตัวของแม่ท้อง

  • เสื้อผ้า ควรสวมชุดที่ใส่สบาย เนื้อผ้าไม่อับลม อาจจะหลวมเล็กน้อย ไม่ควรใส่เสื้อผ้าที่รัดรูปหรือรัดเอวมากจนเกินไป เพราะจะทำให้เลือดไหลกลับจากขาได้ช้าหรือน้อยลง อาจทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้มากขึ้น
  • ชุดชั้นใน ควรจะใช้ยกทรงที่มีขนาดพอเหมาะกับเต้านม คุณแม่อาจจะต้องเปลี่ยนบ่อยตามขนาด และควรใช้ชนิดเสริมด้านล่างอีกเล็กน้อย เพราะเต้านมมักจะใหญ่และถ่วงน้ำหนักลง เสื้อชั้นในที่ดีควรทำจากผ้าฝ้ายล้วน จะทำให้ไม่ร้อนอบอ้าว และควรเลือกชนิดที่มีปลายทรงแหลมหรือมีที่ว่างมากพอสำหรับหัวนมจะได้ไม่ถูกกด เพื่อป้องกันหัวนมบอด
  • รองเท้า คุณแม่ไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูง เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณน่อง ต้นขา เอว และหลัง เกิดวามตึงเครียดและมีอาการปวดตามมาได้ อีกทั้งรองเท้าส้นสูงยังทำให้จุดศูนย์ถ่วงของคุณแม่ตั้งครรภ์เสียสมดุลอีกด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มและแท้งบุตรได้

3. ความร้อนอันตราย

แทบจะไม่มีใครเชื่อเลยว่าความร้อนนั้นสามารถส่งผลกับลูกน้อยในครรภ์ได้ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ หากคุณแม่ไม่สบายก็ควรรีบกินยาลดไข้โดยเร็ว (ใช้ได้เฉพาะยาพาราเซตามอลเท่านั้น) หรือคุณแม่ที่ชอบไปอบตัว อบเซาน่า หรือแช่น้ำวน ก็ควรจะหยุดกิจกรรมเหล่านี้ออกไปชั่วคราวก่อน

4. การอาบน้ำของแม่ท้อง

เรื่องการอาบน้ำให้ระวังอย่าฟอกสบู่มากนัก เพราะจะทำให้ผิวแห้งและเกิดปัญหาผิวพรรณตามมา และไม่ควรลงแช่ในน้ำคลองหรือน้ำสกปรก เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อบริเวณช่องคลอดได้ การอาบน้ำโดยการนั่งแช่ในอ่างอาบน้ำนั้นสามารถทำได้ เพียงแต่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ควรจะงด เพราะอ่างน้ำอาจลื่น ทำให้คุณแม่เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ ไม่ใช่เพราะจะทำให้น้ำเข้าช่องคลอดหรือเกิดการอักเสบอย่างที่เข้าใจผิดกัน การว่ายน้ำในสระว่ายน้ำสามารถทำได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องระวังอย่าให้เป็นตะคริวจมน้ำก็พอ ถ้าตั้งครรภ์แก่ขแนะนำให้เลิกว่ายน้ำแล้วหันไปออกกำลังกายด้วยวิธีอื่นจะเหมาะกว่า

5. อาหารที่ต้องระวัง

อาหารการกินกับหญิงตั้งครรภ์ โดยทั่วไปแล้วอาหารที่กินอยู่เป็นประจำจะไม่มีข้อห้ามอะไรสำหรับคุณแม่ เพียงแต่คุณแม่ควรจะงดเว้นอาหารที่ทานแล้วจะเป็นโทษต่อร่างกายและอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น อาหารรสจัด หรืออาหารที่ใช้เครื่องปรุงแต่งมาก อาหารจำพวกแป้งที่ต้องอุ่นซ้ำ น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น นอกจากนี้อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารค้างแช่แข็ง และอาหารที่เก็บรักษาได้นาน อาหารที่ปรุงไม่สุก (เช่น ไข่ดิบ เนื้อหรือปลาดิบ ซูชิ อาหารทะเลสด หอยนางรม ปลาแซลมอนรมควัน สเต๊ก) ผลไม้บางอย่าง เช่น มะม่วงดิบ (ย่อยได้ยาก ทำให้คุณแม่เกิดอาการแน่นท้อง) ทุเรียน (ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้ได้มาก ทำให้จุกเสียดแน่นท้อง) ผลไม้รสหวานจัดทุกชนิด เพราะจะทำให้น้ำหนักเพิ่มและลดได้ยากหลังคลอด ก็ไม่ควรรับประทานเช่นกันค่ะ

6. การเดินทางไปที่ต่างๆ

โดยปกติคุณแม่ตั้งครรภ์สามารถเดินทางไปไหนไกลๆ หรือไปท่องเที่ยวได้ตามปกติ เพราะการเดินทางไม่มีผลต่อการแท้งและการคลอดก่อนกำหนดแต่อย่างใด แต่ควรเป็นห่วงสำหรับคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องในช่วงระยะแรกๆ เพราะอาจทำให้อ่อนเพลียและวิงเวียนศีรษะจนอาจเกิดอันตราย (ส่วนช่วงใกล้คลอดก็เป็นอันตรายเช่นกัน) รวมไปถึงคุณแม่ที่เคยมีประวัติการทำแท้งหรือเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดมาก่อน ก็ให้ระมัดระวังเพิ่มขึ้นและไม่ควรเดินทางไปไหนไกลๆ จากบ้านมากนัก

  • รถยนต์ ถ้านั่งในรถแล้วรู้สึกเมื่อยล้าก็ควรจะหยุดพักบ้างระหว่างการเดินทางด้วยการลงมาเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง
  • มอเตอร์ไซค์ ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะส่งผลกระทบกระเทือนกับลูกในครรภ์ได้ และอาจทำให้มดลูกต้องมีการเกร็งตัวบ่อยๆ
  • รถไฟ เป็นการเดินทางที่สะดวกสบาย เมื่อมีอาการปวดเมื่อย คุณแม่ก็สามารถลุกเดินไปไหนได้บ้าง แต่ควรจะหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถไฟในช่วงเทศกาล เนื่องจากมีผู้คนแออัด จะทำให้คุณแม่รู้สึกไม่สบาย อึดอัด เหน็ดเหนื่อย และมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อได้

สิ่งสำคัญนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วคุณแม่ท้อง ควรไปตามที่หมอนัดทุกครั้ง อาจสงสัยว่า ทำไมคุณหมอต้องนัดตรวจครรภ์หลายครั้ง ในเมื่อสุขภาพของคุณแม่ก็ยังคงปกติดี แต่เชื่อไหมคะว่าความผิดปกติหลายๆ อย่างมักเกิดขึ้นได้เสมอหลังจากตั้งครรภ์ไปแล้วหลายเดือน ดังนั้นการตรวจครรภ์แต่ละครั้งจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าคุณหมอตรวจพบสิ่งผิดปกติก็จะได้รักษาหรือหาทางแก้ไขได้ทันท่วงที เนื่องจากการตรวจแต่ละครั้งจะเป็นช่วงที่เหมาะสมต่อการตรวจดูความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นได้นั่นเอง

ที่มา – medthai

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



เคล็ดลับฝึกลูกให้มีสมาธิ
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
เริ่มให้ลูกฝึกปั่นจักรยานตอนไหนดี?
กิจกรรมของครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save