fbpx

7 วิธีทำให้ลูกกินผักง่ายขึ้น

Writer : nunzmoko
: 3 ธันวาคม 2561

ผักมีประโยชน์ มีสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเด็ก แต่ปัญหาหนักอกของคุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนที่ต้องเจอคงหนีไม่พ้น ลูกรักของเราไม่ยอมกินผัก เห็นผักทีไรต้องเบือนหน้าหนีตลอด แล้วจะทำยังไงให้ลูกยอมกินผักได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องบังคับฝืนใจ จะมีเทคนิคอะไรบ้างไปดูกันเลยค่ะ

1. ฝึกให้ลูกทานซุปผัก

ในเด็กทารกที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป จะเป็นช่วงวัยที่เริ่มทานอาหารอ่อนๆ นอกเหนือจากนมแม่ได้ จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่คุณแม่สามารถฝึกให้ลูกทานผักได้ตั้งแต่ตอนนี้ เพราะหากเด็กได้ลองทานผักเป็นอาหารแรกเริ่มนอกจากนมแม่แล้ว เด็กก็จะไม่รู้สึกว่าผักมีรสประหลาด หรือมีกลิ่นเหม็น แต่กลับรู้สึกเอร็ดอร่อยและเพลิดเพลินกับการกินผัก ซึ่งผักที่เหมาะนำมาทำซุปผักให้ลูก ต้องเป็นผักที่มีรสหวาน มีสีสัน เช่น แดง ส้ม ชมพู เหลือง และเขียว มีเสี้ยนผักน้อย และไม่มีกลิ่นฉุน เช่น บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ แครอท แตงกวา ฟักทอง ผักบุ้ง ผักกาดขาว ใบตำลึง เป็นต้น

2. ใส่ผักลงในจานโปรดของลูก

ให้ลองสังเกตลูกว่าชอบกินอะไร แล้วใส่ผักลงไปเป็นส่วนผสมของเมนูโปรดนั้นๆ อาจจะปั่นหรือบดให้เล็กลงก่อนนำไปเป็นส่วนผสม จะช่วยทำให้ลูกกินผักแบบไม่รู้สึกฝืนใจ เช่น ปั่นแครอทลงในสมูทตี้ผลไม้ที่ลูกชอบ หรือถ้าลูกชอบกินไข่เจียวก็ลองใส่ผัก อย่างมะเขือเทศ แครอทลงไป เป็นต้น

3. ตกแต่งอาหารเป็นรูปต่างๆ

ภาพจาก – Canadian Family

นอกจากอาหารหน้าตาแบบเดิมๆ อยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองออกแบบหน้าตาอาหาร โดยการนำผักมาตกแต่งจานอาหารของลูกเป็นรูปต่างๆ เช่น รูปสัตว์น่ารักๆ หรือรูปการ์ตูนที่ลูกชอบ จะทำให้ลูกรู้สึกสนุกและชอบการกินผักมากขึ้นค่ะ

4. อาหารสีสันต้องสดใส

สีสันสดใสคือต้องมีผักหลายหลายชนิด ทำให้ลูกไม่เบื่อ เพราะเด็กที่ไม่กินผักบางคน อาจจะไม่ชอบกินแค่ผักบางชนิด ลองสับเปลี่ยนหมุนเวียนเมนูผักดูบ้างจะได้รู้ว่าลูกชอบหรือไม่ชอบผักอะไรค่ะ

5. ให้ลูกกินผักทีละอย่าง

เวลาฝึกควรให้ลูกกินผักทีละอย่างจะได้สังเกตว่าเขาแพ้หรือไม่และแพ้ผักชนิดไหน นอกจากนี้ยังทำให้รู้ด้วยว่าลูกชอบหรือไม่ชอบกินผักอะไร โดยควรใช้หลักกิน 4 วัน นั่นคือ ป้อนอาหารชนิดเดิมหรือผักชนิดเดิมติดต่อกัน 4 วัน หากลูกไม่มีอาการแพ้ จึงเปลี่ยนให้ลูกกินผักชนิดอื่นได้

6. เลือกเวลาที่เหมาะสม

หลังกิจกรรมต่างๆ เด็กๆ จะหมดแรงและหิวมาก ทำให้ไม่เลือกทานอาหาร ดังนั้น เวลานี้จึงเหมาะกับการให้ลูกกินอาหารที่มีผัก เพราะเวลาหิวกินอะไรก็จะอร่อย ทำให้ลูกคุ้นเคยกับการกินผักมากขึ้น ยกตัวอย่างเมนูเช่น แซนวิชทูน่าใส่ผัก ข้าวต้มหมูใส่แครอท หรือซูชิของโปรดของลูก เป็นต้น

7. เปลี่ยนการบังคับเป็นการชวน

การบังคับให้ลูกกินผัก นอกจากลูกจะไม่ยอมกินผักแล้ว อาจเกิดการต่อต้าน ฝังใจ และไม่ชอบทานผักไปในที่สุด ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนจากการบังคับมาเป็นการชักชวนลูกทำกับข้าว นอกจากนี้คุณพ่อคุณพ่อแม่ก็ควรทานผักให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง พร้อมบอกประโยชน์ของผักและชักชวนให้เด็กๆ กินผักด้วยกัน เขาก็จะค่อยๆ ซึมซับว่าผักมีประโยชน์อย่างไร พร้อมเปิดใจที่จะกินผักตามได้ไม่ยาก

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่าหากคุณแม่อยากให้ลูกไม่ปฏิเสธการกินผัก ก็ควรกินผักให้หลากหลายขณะตั้งครรภ์ เพราะต่อมรับรสชาติของทารกในครรภ์จะถูกพัฒนาขึ้นจากการกลืนน้ำคร่ำที่มีรสชาติของผักที่คุณแม่กินนั่นเองค่ะ

ที่มา :

 

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save