อุบัติเหตุที่เกิดจากการติดคอหรือสำลักอาหารของลูกนั้น มักเกิดขึ้นบ่อยกับเด็กในวัยเล็ก และเสี่ยงที่ลูกจะเกิดอันตรายจนอาจถึงแก่ชีวิตแบบเฉียบพลัน เพราะมีสิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจ และหลอดอาหารนั่นเองค่ะ ในเด็กบางคนอาจถึงขั้นพิการทางสมองเป็นเจ้าชายนิทรามาแล้วก็มี
ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่จึงต้องหันมาใส่ใจ และดูแลเรื่องอาหารการกินของลูกอย่างจริงจัง เราจึงควรบอกให้ลูกเคี้ยวช้าๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกเกิดอุบัติเหตุ เราไปดูกันดีกว่าว่า “TOP 5 อาหารที่กินแล้วเสี่ยงต่อชีวิตและอันตรายต่อลูกน้อย” จะมีอาหารชนิดใดบ้างที่ควรเลี่ยงค่ะ
อันดับที่ 5 : เนยถั่ว และถั่วเปลือกแข็ง
อาหารที่ลูกควรเลี่ยงหากยังอายุไม่ถึง 3 ขวบ หรือการที่ลูกไม่ค่อยยอมเคี้ยวอาหาร นั่นคือ เนยถั่ว และถั่วเปลือกแข็งค่ะ คุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามอย่าปล่อยให้ลูกกินเนยถั่วคำโตๆ เนื่องจากเนยถั่วมีผิวสัมผัสที่ขรุขระ และฝืดคอ หากเด็กทานเข้าไปอาจทำให้ติดคอได้ง่าย
หากอยากให้ลูกทานจริงๆ แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทาเนยถั่วบางๆ บนขนมปังหรือแครกเกอร์แทนจะปลอดภัยกว่าค่ะ ที่สำคัญควรมีน้ำเปล่าตั้งให้ลูกข้างๆ ตัว เพราะหากลูกเกิดอาการติดคอ หรือสำลักจะได้ดื่มน้ำตามเข้าไป เพื่อไม่ให้เกิดอาการฝืดคอ และไม่ติดคอนั่นเอง
ส่วนถั่วเปลือกแข็งก็มีโอกาสสูงที่ทำให้ลูกติดคอได้ง่าย เพราะเม็ดถั่วมีขนาดเล็ก หากลูกกลืนหรือเคี้ยวเร็ว อาจทำให้ติดคอได้ค่ะ คุณพ่อคุณแม่จึงต้องเลี่ยงอาหารประเภทนี้ไม่ให้ลูกทานนั่นเองค่ะ
อันดับที่ 4 : หมากฝรั่ง และเยลลี่
อาหารอันดับที่ 4 ที่ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกทาน นั่นก็คือ หมากฝรั่ง และขนมสำหรับเด็ก เช่น มาร์ชเมลโล ขนมเยลลี่เคี้ยวหนึบ เนื่องจากหมากฝรั่งมีความหนึบ เเละลื่นลงคอได้ง่าย จึงมีโอกาสสูงที่จะติดคอลูก หากลูกยังมีอายุไม่ถึง 5 ขวบ จึงไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่งเล่นนั่นเองค่ะ
ที่สำคัญ คือ หมากฝรั่งและเยลลี่ก็ไม่ใช่ของขบเคี้ยวที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะประกอบไปด้วยสารเติมแต่งต่างๆ ทั้งสีและกลิ่นสังเคราะห์ที่หอม จนบางครั้งลูกอาจเผลอกลืนลงท้องไป ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็กมากๆ เลย ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้ลูกเคี้ยวหมากฝรั่งเมื่อเขาโตพอที่จะรู้เรื่อง และแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้ดีในเวลาที่เหมาะสมมากกว่าค่ะ
อันดับที่ 3 : องุ่น รวมทั้งผลไม้ที่มีขนาดเล็ก และมีเมล็ด
“องุ่น” ถือเป็นอาหารที่เสี่ยงติดคอลูกได้ง่ายสูงเป็นอันดับ 3 ยิ่งเป็นองุ่นที่มีเมล็ดด้วยแล้ว ยิ่งเสี่ยงติดคอลูกได้ง่าย เพราะองุ่นนั้นมีลักษณะกลม ขนาดเล็ก ทำให้ไหลลื่นลงคอ และเข้าช่องหลอดลมได้ง่ายนั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้นก่อนให้ลูกกินองุ่น จึงต้องหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วบอกให้ลูกค่อยๆ เคี้ยว ไม่ต้องรีบ เพราะเดี๋ยวจะติดคอค่ะ
นอกจากนี้ อาหารที่มีขนาดใหญ่กว่า “เมล็ดถั่วลันเตา” รวมทั้งผลไม้ที่มีลักษณะกลมๆ ขนาดเล็ก และมีเมล็ด จำพวกแตงโม น้อยหน่า ละมุด ก็สามารถทำให้ลูกเกิดอาการติดคอได้เช่นกัน คุณพ่อคุณแม่จึงต้องใส่ใจ และคอยเลือกอาหารการกินของลูกอย่างดีนั่นเองค่ะ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ฟันยังขึ้นไม่ครบ ควรบดอาหารให้ละเอียด ไม่ควรป้อนอาหารด้วยความรีบร้อน เพราะเด็กอาจกลืนอาหารไม่ทันจนสำลักติดคอได้ รวมทั้งสอนให้เด็กเคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียดก่อนกลืนนั่นเองค่ะ
อันดับที่ 2 : ลูกชิ้นทุกประเภท
ใครจะไปเชื่อว่า “ลูกชิ้น” ที่แสนอร่อย ซึ่งเราทานกันทุกวันเป็นประจำ จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ลูกเกิดอาการติดคอจนอาจถึงแก่ชีวิตได้ หรืออาจทำให้เด็กบางคนกลายเป็นโรคเจ้าชายนิทรามาแล้วก็มี เนื่องจากลูกชิ้นมีหลายประเภท ทั้งลูกชิ้นที่มีลักษณะกลมๆ, ลูกชิ้นปลาที่มีลักษณะยาว หรือแม้แต่ไส้กรอกที่ใครหลายๆ คนอาจมองมองข้ามนั้น อาจเข้าไปติดตรงหลอดลมของเด็ก ทำให้ปิดกั้นทางเดินหายใจจนทำให้เด็กหายใจไม่ออก อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยค่ะ
โดยสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ทานลูกชิ้นแล้วติดคอ ส่วนใหญ่เกิดจากการรีบเคี้ยวแล้วติดคอ หรือเผลอกลืนทั้งที่ยังเคี้ยวลูกชิ้นไม่ละเอียดนั่นเองค่ะ
อันดับที่ 1 : ลูกอม
แน่นอนว่าอาหารที่เสี่ยงทำให้ลูกติดคออันดับ 1 คงหนีไม่พ้น “เม็ดลูกอม” เพราะว่าเม็ดลูกอมมีขนาดเล็กมากๆ ทำให้เวลาเด็กอมลูกอม อาจจะเผลอกลืนลงไปจนติดคออย่างรวดเร็วได้นั่นเองค่ะ เป็นอาหารใกล้ตัวเราที่อันตรายมากๆ เพราะเมื่อลูกอมติดคอแล้ว จะทำให้เราหายใจผิดจังหวะ ท้ายที่สุดแล้วอาจจะหายใจไม่ออกนั่นเอง
ดังนั้น เด็กที่จะอมลูกอมควรมีอายุตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไปค่ะ ให้เขารู้เรื่องก่อนว่าอะไรเป็นอะไร แล้วจึงค่อยๆ สอนเขาอมลูกอมนั่นเอง
เห็นไหมล่ะคะว่า อาการติดคอนั้นน่ากลัวขนาดไหน หากเราไม่สามารถช่วยลูกได้ทัน หรืออาจจะไม่เห็นตอนที่ลูกติดคอ อาจทำให้ลูกเสียชีวิตแบบเฉียบพลันได้เลยทีเดียว คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรปล่อยให้ลูกกินไปเดินไป ดูทีวีไป หรือทำอย่างอื่นไปด้วยในขณะกินอาหาร เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะดึงความสนใจลูกไปจากการกิน เพิ่มความเสี่ยงอาหารติดคอลูกง่ายขึ้นค่ะ
เมื่อเกิดอาการติดคอกับลูกครั้งหนึ่งแล้ว อาจจะกลายเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีไปทั้งชีวิตของเด็กเลยก็ได้ หากลูกไม่อยากกินอาหารชนิดนี้ หรือเลือกที่จะไม่กินมัน อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่ควรจะได้รับนั่นเอง หากคุณพ่อคุณแม่กลัวลูกจะกินขนมแล้วติดคอ เราขอแนะนำวิตามินเด็ก Easi-V (อีซี่วี) ขนมยอดฮิตของเด็กญี่ปุ่น ที่ช่วยป้องกันการติดคอของลูกน้อยด้วยสูตรละลายง่ายใน 3 วินาที มีขนาดเล็ก อร่อย มีประโยชน์ ไม่ต้องเคี้ยว ผสมวิตามินสูง ซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายเด็กและครบถ้วน เป็นขนมสำหรับเด็กที่คุณแม่ญี่ปุ่นไว้วางใจเลือกซื้อให้ลูกน้อยทาน เพราะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ หลากหลายรสชาติจากผลไม้และนม ทำให้ทานง่าย
วิตามินเด็ก Easi-V มีด้วยกัน 4 รสชาติ นั่นคือ
1. Easi-V สูตรวิตามินรวม 7 ชนิด กลิ่นเลมอน
วิตามินตัวนี้ขายดีมากๆ เพราะมีวิตามินที่จำเป็นต่อเด็กๆ ครบเลย เช่น วิตามินซี, บี3, บี5, บี6, บี9, บี12, อี จึงทำให้มียอดขายดีที่สุด ที่สำคัญ คือมีวิตามินกลุ่มบี เกือบครบทุกตัวอีกด้วยค่ะ
วิตามินรวมเด็กตัวนี้ ช่วยบำรุงการทำงานของสมอง, เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน, ช่วยในการเติบโตของร่างกายให้แข็งแรง และช่วยให้เด็กเจริญอาหารเพิ่มมากขึ้น
2. Easi-V สูตรผสมน้ำผลไม้และผัก กลิ่นองุ่น มีวิตามินเอ, โฟเลต, วิตามินซี, แคลเซียม
ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง, เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย, ช่วยบำรุงการทำงานของสมองและสายตา
3. Easi-V สูตรผสมแคลเซียมและวิตามินดีสูง กลิ่นนม
ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง (เด็กคนไหนที่แพ้นมวัว สามารถทานได้ด้วยนะ เพราะ Easi-V ปราศจากสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในเด็กค่ะ)
4. Easi-V สูตรวิตามินซีสูง กลิ่นส้ม
ช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
นอกจากนี้ยังปราศจากส่วนผสมของสารที่มักเกิดภูมิแพ้ในเด็ก เช่น ไม่มีส่วนผสมของวีท, ปลา, กุ้ง, นม, ถั่ว, เนย, ไข่ สำหรับเด็กที่แพ้อาหารกลุ่มนี้ จึงสามารถทานได้อย่างสบายใจ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.easiv.co
ที่สำคัญคือมีขายที่ไทยแล้วนะ แถมราคาวิตามินเด็กก็แสนประหยัด เพียงซองละ 35 บาทเท่านั้นค่ะ
คุณพ่อคุณแม่สามารถหาซื้อวิตามินเด็ก Easi-V ได้ทาง
Easi-V เวลาเล่น…เวลาประโยชน์…เวลา Easi-V
#easiv #วิตามินเด็ก #วิตามินรวม #วิตามินนำเข้าจากญี่ปุ่น #ขนมสำหรับเด็ก #ขนมเด็กจากญี่ปุ่น #EasiVวิตามินเด็กกินง่ายละลายในปาก