fbpx

ไข่แสนอร่อย ให้ลูกกินอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด!

Writer : Jicko
: 1 พฤศจิกายน 2564

ไข่สุดแสนธรรมดา แต่รู้ไหมว่าเต็มไปด้วยสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อเจ้าตัวเล็กมากแค่ไหน อีกทั้งยังสามารถทำเมนูต่างๆ ได้เยอะแยะมากมาย เมนูง่ายแสนง่ายก็ต้องนึกถึงไข่ไว้ก่อนจริงไหมคะ แล้วเจ้าไข่เนี่ยเด็กๆ สามารถกินได้ตอนอายุเท่าไหร่ แล้วทานแค่ไหนถึงจะเพียงพอ วันนี้เราจะพาไปไขข้อสงสัยนี้พร้อมๆ กันค่ะ ไปดูกันเลย

ปริมาณไข่ที่เหมาะสม ของแต่ละช่วงวัย

  • เด็กอายุ 6 เดือน : ไข่แดงต้มสุก วันละครึ่งใบ บดผสมกับข้าว
  • เด็กอายุ 7 – 12 เดือน : ครึ่ง – 1 ฟอง/วัน
  • เด็กอายุ 1 – 5 ปีและเด็กวัยเรียน : 1 ฟอง/วัน ควบคู่กับอาหารให้ครบ 5 หมู่

ไข่มีประโยชน์กับเจ้าตัวเล็กยังไง ?

1. เสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ดีมากโดยเฉพาะไข่ขาว

2. บำรุงสมอง เสริมสร้างความจำให้ดียิ่งขึ้น

3. มีธาติสังกะสี ช่วยเสริมสร้างเส้นผมและเล็บให้มีสุขภาพดียิ่งขึ้น

5. ในไข่แดงมีสารแคโรทีนอยด์ ช่วยในการมองเห็น และการลดความเสี่ยงการเป็นโรคประสาทตาเสื่อม

 

ไข่แต่ละอย่างต่างกันยังไง

ไข่ที่เรามักนิยมบริโภคมีด้วยกัน 3 ชนิด หากเปรียบเทียบไข่แต่ละชนิดในปริมาณ 100 กรัมเท่ากันแล้ว จะมีคุณค่าและสารอาหารแตกต่างกันไป แต่ละชนิดจะเป็นยังไงไปดูกันเลย

1. ไข่เป็ด

  • พลังงาน 197 กิโลแคลอรี
  • คอเลสเตอรอล 210 มิลลิกรัม
  • โปรตีน 14.4 กรัม
  • ไขมัน 14.6 กรัม
  • วิตามินบี 1 เท่ากับ 0.29 ไมโครกรัม
  • วิตามินบี 2 เท่ากับ 0.3 ไมโครกรัม
  • แคลเซียม 40 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 269 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 1 มิลลิกรัม

2. ไข่นกกระทา

  • พลังงาน 161 กิโลแคลอรี
  • คอเลสเตอรอล 508 มิลลิกรัม
  • โปรตีน 13.1 กรัม
  • ไขมัน 11.1 กรัม
  • วิตามินบี 1 เท่ากับ 0.13 ไมโครกรัม
  • วิตามินบี 2 เท่ากับ 0.73 ไมโครกรัม
  • แคลเซียม 62 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 224 มิลลิกรัม
  • เหล็ก –

3. ไข่ไก่

  • พลังงาน 155 กิโลแคลอรี
  • คอเลสเตอรอล 427 มิลลิกรัม
  • โปรตีน 12.8 กรัม
  • ไขมัน 10.8 กรัม
  • วิตามินบี 1 เท่ากับ 0.15 ไมโครกรัม
  • วิตามินบี 2 เท่ากับ 0.61 ไมโครกรัม
  • แคลเซียม 38 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 230 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม

ข้อควรระวังในการบริโภคไข่

  • ควรเช็ดเปลือกไข่ให้สะอาดก่อนเก็บไว้ในตู้เย็น
  • ไม่ควรให้ลูกกินไข่ที่ไม่สุกหรือไข่ลวก
  • หากเด็กมีอาการแพ้ไข่ ควรเริ่มทานจากไข่แดงหลัง 6 เดือน ในปริมาณน้อยก่อน โดยทำให้ไข่สุกแข็ง 100% แล้วเอาเฉพาะไข่แดงบดแล้ว มาให้ลูกทาน

 

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save